วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การคุมกําเนิด


ยาฉีดคุมกําเนิด

ยาฉีดคุมกําเนิดเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ออกฤทธิ์ได้นานที่นิยมใช้มากเป็นพวกDMPA (Depsmedroxy Progesterone Acetate) ขนาด 150 มิลลิกรัม ฉีดทุก ๆ 3 เดือนยาฉีดคุมกําเนิด สามารถป้องกันการตั้งครรภ์และออกฤทธิ์ได้เช่นเดียวกับยาเม็ด

คุมกําเนิดอย่างไรก็ตาม ผู้ที่ควรใช้ยาฉีดคุมกําเนิดได้แก่

1. ผู้ที่มีบุตรเพียงพอแล้ว และกลัวการทําหมัน

2. เคยใช้วิธีการคุมกําเนิดแบบอื่นๆ แล้วมีอาการข้างเคียงมาก

3. เป็นโรคเรื้อรังและไม่ควรมีบุตรอีก เช่น โรคไต โรคหัวใจ เป็นต้น

4. เป็นโรคซึ่งไม่เหมาะที่จะใช้วิธีคุมกําเนิดแบบอื่น เช่น มีเนื้องอกที่มดลูก

5. อยู่ในช่วงของการให้นมบุตร

สําหรับผู้ที่ไม่ควรใช้ยาฉีดคุมกําเนิด ได้แก่

1. ผู้ที่ยังไม่มีบุตร ผู้ที่อายุน้อยหรือประจําเดือนมาไม่เป็นปกติ

2. มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ

3. ตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าจะตั้งครรภ์

4. เป็นมะเร็งหรือสงสัยว่าจะเป็นมะเร็งที่อวัยวะสืบพันธุ์

5. เป็นโรคตับ หรือเป็นโรคเบาหวาน หรือมีไขมันในเลือดสูง




ยาเม็ดคุมกําเนิด

ยาเม็ดคุมกําเนิดประกอบด้วยฮอร์โมน 2 ชนิด คือ เอสโตรเจน (estrogen) และ

โปรเจสโตเจน (progestogen) เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งทําเป็นเม็ดและบรรจุในแผงที่ป้องกันความชื้นได้ ยาเม็ดคุมกําเนิดเป็นวิธีคุมกําเนิดที่ใช้กันแพร่หลาย และสามารถแบ่งตามส่วนประกอบของฮอร์โมนได้ 2 ชนิด

ยาเม็ดคุมกําเนิดป้องกันการตั้งครรภ์โดย

1. ป้องกันไม่ให้ไข่สุกและไม่มีการตกไข่ของฝ่ายหญิง

2. เมือกปากมดลูกของฝ่ายหญิงจะเหนียวข้น ทําให้เชื้ออสุจิของฝ่ายชายเดินทางเข้า

ไปในโพรงมดลูกและหลอดมดลูกได้ยาก

3. เยื่อบุโพรงมดลูกจะบาง ไม่เหมาะต่อการฝังตัวของไข่ที่อาจจะเกิดผสมกับเชื้ออสุจิ

4. ความสามารถของเชื้ออสุจิที่ไปผสมกับไข่ได้ลดน้อยลง

การใช้ยาเม็ดคุมกําเนิด ควรเริ่มจากการเลือกใช้ยาที่ประกอบด้วยฮอร์โมนขนาดน้อยที่

สุด และเริ่มกินยาตามวิธีการต่อไปนี้

1. ขณะมีประจําเดือน เริ่มกินยาเม็ดแรกในช่วง 1-5 วันขณะที่มีประจําเดือน แล้วกิน

ต่อไปทุกวันจนหมดแผง

2. หลังคลอดบุตร ควรเริ่มกินยา 4-5 สัปดาห์หลังคลอด ผู้ที่ไม่ได้เลี้ยงบุตรด้วย

นํ้านมของตนเอง หรือจะมีการร่วมเพศก่อน ควรเริ่มต้นกินยาเม็ดคุมกําเนิดเร็วขึ้น คือ ในสัปดาห์ที่ 2-3หลังคลอด

3. หลังแท้งบุตร เริ่มกินยาเม็ดคุมกําเนิดภายหลังแท้ง 2-3 สัปดาห์ สําหรับผู้ที่แท้ง

ก่อน 3 เดือน อาจมีการตกไข่ทันทีภายหลังแท้ง ถ้าจะมีการร่วมเพศก็ควรเริ่มกินยาเม็ดคุมกําเนิดทันทีหลังแท้งบุตร



ยาฝังคุมกําเนิด

ยาฝังคุมกําเนิด (implant) เป็นฮอร์โมนโปรเจสโตรเจนบรรจุหลอดฝังไว้ใต้ผิวหนังแล้ว

ฮอร์โมนจะซึมเข้ากระแสโลหิตในอัตราคงที่ เป็นขนาดฮอร์โมนที่น้อยที่สุดซึ่งสามารถออกฤทธิ์

ป้องกันการตกไข่ได้ โดยจะออกฤทธิ์ได้นาน 1 – 5 ปี

ข้อแนะนําก่อนฝังยาคุมกําเนิด ได้แก่

1. อาจมีประจําเดือนผิดปกติ เช่น เลือดออกกะปริดกะปรอย ประจําเดือนมาไม่

สมํ่าเสมอ ประจําเดือนมาน้อยหรือไม่มาเลย

2. อาการข้างเคียงอื่นๆ เช่น นํ้าหนักตัวเพิ่มขึ้น บางรายอาจมีฝ้าขึ้นที่ใบหน้า ปวดศีรษะ

อารมณ์เปลี่ยนแปลง บางรายอาจมีปัญหาบริเวณที่ฝังยาอักเสบ หรือติดเชื้อ

ข้อดีของการใช้ยาฝังคุมกําเนิด

1. ประสิทธิภาพการคุมกําเนิดสูง ใช้ง่าย รับบริการครั้งเดียวสามารถคุมกำเนิดได้นานถึง5 ปี

2. ปลอดภัยจากอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง

3. เมื่อต้องการมีบุตรอีกสามารถตั้งครรภ์ได้ทันทีหลังถอดยาฝังคุมกําเนิด

4. ไม่มีผลเสียต่อปริมาณและคุณภาพของนํ้านมมารดา จึงสามารถใช้ได้ในสตรีหลังคลอด 6 สัปดาห์ขึ้นไปที่ให้นมบุตร

ข้อเสียของการใช้ยาฝังคุมกําเนิด

1. ราคาแพง

2. มีอาการข้างเคียงต่าง ๆ เช่น ประจําเดือนผิดปกติ ปวดศีรษะ

3. ไม่เป็นโรคตับ เบาหวาน หรือเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอง

4. ผู้ให้บริการต้องเป็นแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ได้รับการฝึกอบรมแล้วสามารถให้บริการได้

5. มีแผลตรงตําแหน่งที่ฝังยา
เรียนรู้ “ชนิดของยาเสพติด”
ยาเสพติด

แบ่งได้ตามลักษณะที่หลากหลาย
ยาเสพติด สามารถแบ่งได้ ตามลักษณะต่างๆ ดังนี้

ก. แบ่งตามแหล่งที่เกิด ได้แก่
1. ยาเสพติดธรรมชาติ (Natural Drugs) คือ ยาเสพติดที่ผลิตได้มาจากพืช เช่น ฝิ่น กระท่อม กัญชา
2. ยาเสพติดสังเคราะห์ (Synthetic Drugs) คือ ยาเสพติดที่ผลิตขึ้นด้วยกรรมวิธีทางเคมี เช่น เฮโรอีน แอมเฟตามีน

ข. แบ่งตามพราะราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ได้แก่
ประเภท 1 ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงไม่เป็นประโยชน์ทางการแพทย์ เช่น เฮโอีน (Heroin) แอมเฟตามีน (Amphetamine) เมทแอมเฟตามีน (Metham phetamine) แอลเอสดี (LSD) เอ็คซ์ตาซี (Ecstasy) หรือ MDMA

ประเภท 2 ยาเสพติดให้โทษทั่วไป เช่น ฝิ่น (Opium) มอร์ฟีน (Morphine) โคเคนหรือโคคาอีน เมทาโดน (Methadone)

ประเภท 3 ยาเสพติดให้โทษที่มียาเสพติดให้โทษประเภท 2 ผสมอยู่ เช่น ยาแก้ไอที่มีโคเดอีนผสมอยู่

ประเภท 4 สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษประเภท 1 หรือประเภท 2 เช่น อะเซติคแอนไฮไดรด์ (Aceticanhydride) อะเซติลคลอไรด์ (Acetylchloride) เอทิลิดีนไดอาเซเตด (Ethylidinediacetate) ไลเซอร์จิค อาซิค (Lysergic Acid)

ประเภท 5 ยาเสพติดให้โทษที่มิได้เข้าอยู่ในประเภท 1 ถึงประเภท 4 เช่น พืชกัญชา พืชกระท่อม พืชผิ่น (ซึ่งหมายความรวมถึงพันธุ์ฝิ่น เมล็ดฝิ่น กล้าฝิ่น ฟางฝิ่น พืชเห็ดขี้ควาย)


ค. แบ่งตามการออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ได้แก่

1. ยาเสพติดประเภทกดประสาท เช่น ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยากล่อมประสาท สารระเหย

2. ยาเสพติดประเภทกระตุ้นประสาท เช่น แอมเฟตามีน กระท่อม โคคาอีน

3. ยาเสพติดประเภทหลอนประสาท เช่น แอลเอสดี ดีเอ็มที เห็ดขี้ควาย

4. ยาเสพติดประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาร (อาจกด กระตุ้นหรือหลอนประสทร่วมกัน) เช่น กัญชา

ง. แบ่งตามองค์การอนามัยโลก

องค์การอนามัยโลกได้จัดแบ่งยาเสพติดออกเป็น 9 ประเภท ได้แก่

1. ประเภทฝิ่น หรือ มอร์ฟีน รวมทั้งยาที่มีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีน เช่น ฝิ่น มอร์พีน เฮโรอีน เพธิดีน

2. ประเภทบาบิทูเรทรวมทั้งยาที่มีฤทธิ์ทำนองเดียวกัน เช่น เซโคบาร์บิตาล อะโมบาร์บิตาล พาราลดีไฮล์ เมโปรบาเมท ไดอาซีแพม คลอไดอาชีพอกไซด์

3. ประเภทแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ วิสกี้

4. ประเภทแอมเฟตามีน เช่น แอมเฟตามีน เดกซ์แอมเฟตามีน

5. ประเภทโคเคน เช่น โคเคนใบโคคา

6. ประเภทกัญชา เช่น ใบกัญชา ยางกัญชา

7. ประเภทคัท เช่น ใบคัท ใบกระท่อม

8. ประเภทหลอนประสาท เช่น แอลเอสดี ดีเอ็มที เมสคาลีน เมล็ดมอร์นิ่งโกลลี่ ต้นลำโพง เห็ดเมาบางชนิด

9. ประเภทอื่นๆ เป็นพวกที่ไม่สามารถเข้าประเภทใดได้ เช่น ทินเนอร์ เบนซิน น้ำยาล้างเล็บ ยาแก้ปวด บุหรี่

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

สเก็ตบอร์ด


สอนเทคนิคการเล่นสเก็ตบอร์ด
รวมรูปภาพของนักสเก็ตบอร์ด
แนะนำเพลงในแนว

สเกตบอร์ด คืออุปกรณ์ 4 ล้อ ที่มีแผ่นกระดานให้ยืนได้และมีลูกล้อที่แข็งแรงรองรับอยู่ สเกตบอร์ดเป็นอุปกรณ์ลื่นไหล สำหรับการเล่นกีฬาสเกตบอร์ด เคลื่อนที่ได้โดยการผลักด้วยเท้าขณะที่เท้าอีกข้างควบคุมบอร์ดไว้ หรือการดีดขึ้นบนราว หรือทางครึ่งวงกลม หรือสามารถนั่งบนสเกตบอร์ดได้ขณะเคลื่อนที่บนทางลาดให้แรงโน้มถ่วงขับเคลื่อนบอร์ดไป

ที่มาของสเกตบอร์ดไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้คิดค้น แต่น่าจะเกิดในช่วงทศวรรษที่ 40-50 โดยสันนิษฐานว่าเป็นการประยุกต์จากรถ soapbox และอีกข้อสันนิษฐานนึงคิดว่าประยุกต์มาจากโรลเลอร์สเกต สเกตบอร์ดพัฒนาจนมีการผลิตโมเดลขึ้นในทศวรรษที่ 60 โดยสเกตบอร์ดในสมัยก่อนจะมีรูปร่างแบบเซิร์ฟบอร์ด ไม่ค่อยมีส่วนเว้ามากและทำจากไม้ทึบ พลาสติก หรือ แม้แต่โลหะ ส่วนล้อมักทำจากส่วนประกอบจากดิน หรือ เหล็ก ในปี 1973 ได้มีการใช้วงล้อยูรีเทนในการกีฬา ซึ่งทำให้มีความปลอดภัยและคล่องตัวกว่า สเกตบอร์ดมีขนาดกว้างมากขึ้น จาก ระยะ 16 ซม.เป็นกว่า 23 ซม.เพื่อให้ความมั่นคงที่ดีกว่า ในการเล่น Vert

ส่วนประกอบของสเกตบอร์ดประกอบด้วย Deck,Truck,ล้อ,ball bearings และอื่น ๆ

ในช่วงทศวรรษที่ 80 กีฬาสเกตบอร์ดได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายการแข่งขันสเกตบอร์ดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เวิร์ต (Vert) เป็นการเล่นตามแลมป์ใหญ่ ๆ และ อีกประเภทคือแบบผาดโผน จะเป็นแนวแบบสตรีท คือแสดงโชว์ท่าทางกระโดดข้ามและผ่านสิ่งกีดขวาง ในขณะเดียวกัน ยังต้องแสดงท่าทางต่างๆ เช่น ท่า five-o-grinds , ท่า 360's ,ท่า fifty-fifty และอีกหลายให้เข้าตากรรมการชม



--ประวัติ
เริ่มจากแถบแคลิฟอร์เนีย นักเล่นเซิร์ฟได้ลองใช้ถนนที่เป็นลอน แทนคลื่นในทะเลในยามไม่มีคลื่น ตั้งแต่ 1950 กีฬาชนิดนี้เป็นกีฬาแท้ๆ ที่นิยมกันมากของชาวอเมริกา แต่เมื่ออินไลน์สเกตและ BMX เป็นที่นิยมในช่วงสั้น ๆ ช่วงปลายทศวรรษที่ 50 ดนตรีและภาพยนตร์เกี่ยวกับสเกตบอร์ดเป็นตัวปลุกกระแสการออกแบบเครื่องเล่นให้เหมือนเ
ซิร์ฟบอร์ดและมีการผลิตเพื่อการค้าครั้งแรกโดยโรลเลอร์ เดอร์บี้ จำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าในปี 1959

ว่ากันว่ากีฬาที่เกิดจากอุบัติเหตุเมื่อคันบังคับของรถสกูตเตอร์หักและเหลือแค่เพียง
พื้นติดล้อเท่านั้น ในช่วง 10 ปี ของ ค.ศ. 1960 การเล่นสเกตบอร์ดถูกห้ามเล่นในหลายๆแห่ง จนกลายเป็นกีฬาใต้ดิน

ปี 1960 ได้มีการตีพิมพ์นิตยสารเกี่ยวกับการเล่นสเก็ตฉบับแรกขึ้น รวมทั้งมีการผลิตสเก็ตบอร์ดขึ้นมา ต่อมาในปี 1963 ผู้ผลิตสเกตบอร์ดมากาฮาได้จัดตั้งทีมสเก็ตบอร์ดเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของตน และได้จัดการแข่งขันสเกตบอร์ดอย่างเป็นทางการครั้งแรกได้รับความอุปถัมภ์จากมากาฮาใน
แคลิฟอร์เนีย

ในปี 1973 ได้มีการใช้วงล้อยูรีเทนในการกีฬา ซึ่งทำให้มีความปลอดภัยและคล่องตัวกว่า สเก็ตบอร์ดมีขนาดกว้างมากขึ้น จาก ระยะ 16 ซม.เป็นกว่า 23 ซม.เพื่อให้ความมั่นคงที่ดีกว่า ในการเล่น Vert

การเล่นสเกตบอร์ดสมัยใหม่เกิดขึ้นโดยมีการเล่นแบบต่างๆ เช่น Slalom,ดาวน์ฮิลล์,ฟรีสไตล์ วัฒนธรรมการเล่นสเก็ตบอร์ดเริ่มรวมตัวเข้ากับพวกพังค์ และดนตรีแบบใหม่ อาร์ตเวิร์คและกราฟิกเริ่มมีบทบาทมากในวัฒนธรรมการเล่นสเกตบอร์ด

จนช่วงปลายปี 1970 ลานสเกตบางแห่งหายไปอันเนื่องจากธุรกิจตกต่ำ การเล่นสเก็ตบอร์ดก็เริ่มตกต่ำอีกเป็นครั้งที่สอง จนการเล่นสเกตบอร์ดก็หายจากวงการ การขี่จักรยานBMX เข้ามาเป็นที่นิยมและนักสเกตส่วนมากก็หยุดเล่นสเก็ตลานสเก็ตก็สูญหายไปแต่มีการสร้าง
ฮาฟว์ไปป์ และแรมป์ยังคงพัฒนาต่อไปอย่างเงียบๆ ด้วยนักขี่จักรยาน BMX

มีการฟื้นฟูการเล่นสเกตบอร์ดโดยใช้แรมป์ที่เป็นไม้อัด ในปี 1980 และการเล่นตามท้องถนนจึงก่อให้เกิดความพยายามในการเล่นด้วยตนเอง นักสเกตเริ่มที่จะสร้างแรมป์สำหรับสเกตที่ทำด้วยไม้เอง บริษัทที่เป็นของนักสเกตเริ่มสร้างอุปกรณ์ต่างๆ ให้มีมาตรฐานกว่าเดิม เพื่อใช้เล่นท่าให้ได้ดีขึ้น มีนักสเกตเป็นที่รู้จักอย่างโทนี ฮอว์คและสตีฟ แคบเบลเลอโร มีการจัดการแข่งขันโดย The National Skateboarding Association การเล่นสเกตบอร์ด ยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมระหว่างประเทศเริ่มจากดนตรีพังก์ร็อก

สเกตบอร์ด แบบ New School กำเนิดขึ้นโดยเน้นไปที่การเล่นท่าพื้นฐาน ออลลี่ และเน้นเล่นท่าทริคต่างๆ ต่อมาการเล่นโรลเลอร์เบรดก็เป็นที่นิยม ต่อมาในปี 1995 ESPN ได้บรรจุกีฬาประเภทนี้ในงานแข่ง Extreme Games (ปัจจุบันคือ X Games) Skateboard เป็นหนึ่งในกีฬาหลักที่ต้องจัดในงาน X Games ประจำปีทุกครั้ง

ปัจจุบัน มีอุตสาหกรรมเกี่ยวกับกีฬาสเกตบอร์ดมากมายเช่น นิตยาสาร สำนักงานออกแบบสนาม ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับสเกต เป็นต้น อุปกรณ์ต่างๆ มีขนาดต่างๆ ก็มีขนาดเพิ่ม-ลดต่างออกไป







--ท่าในสเกตบอร์ด

ท่า Kickflipด้วยการพัฒนาของลานสเกตและทางลาด ตัวสเกตบอร์ดก็เริ่มจะมีการเปลี่ยนแปลง ในช่วงแรกท่าในการเล่นจะมีลักษณะเป็นสองมิติอย่างการแล่นด้วยสองล้อ การดีดขึ้นในช่วงสองล้อหลัง เรียกว่า "พิว็อต" การกระโดดข้ามราวและลงมาที่บอร์ดอีกครั้ง การกระโดดในระยะยาว (เช่นถังน้ำ) หรือสลาลม

ในปี 1976 การเล่นสเกตบอร์ดเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโดยมีการคิดค้น "ออลลี่" โดย อลัน ออลลี่ เกลแฟนด์ ซึ่งเป็นท่าที่ได้รับความนิยมในฟลอริดาในช่วงปี 1978 หลังจากที่เขาไปแคลิฟอร์เนียก่อนหน้านั้น ท่าของเกลแฟนด์เริ่มเป็นที่นิยมในกลุ่มนักเล่นสเกตในแถบเวสต์โคสต์ของอเมริกา และมีสื่อมวลชนได้กระจาย เผยแพร่ไปอีกจนได้รับความนิยมทั่วโลก

ออลลี่ ได้ถูกดัดแปลงท่าในการลงพื้นโดย ร็อดนีย์ มัลเลน ในปี 1982 โดยมัลเลนได้คิดท่า "คิกฟลิป" โดยในช่วงนั้นมีชื่อว่า "แมจิกฟลิป" และจากการคิดค้นท่านี้เองทำให้นักสเกตบอร์ดสามารถเล่นสเกตได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์อื
่นนอกเหนือจากตัวสเกตบอร์ดอย่างเดียว และได้พัฒนาสู่ท่าการเล่นอื่นตามมา




ท่า ollie คือ ท่าพื้นฐานที่สุดในจำนวนท่าทั้งหมดของสเก็ตบอร์ด โดยไม่รวมกับ ท่า oldschool มันควรจะเป็นหนึ่งในท่าแรกที่คุณต้อง ฝึกหลังจากที่คุณได้ทำความคุ้นเคยกับการทรงตัวบนแผ่นสเก็ตบอร์ด ผู้คิดค้นท่า ollie คือ Alan Gefland เขาได้คิดค้นมันในปี 1977 (2520) ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุเพียงแค่ 13-14 ขวบเอง
.
1.การเล่นท่าOLLIE
ท่าOLLIEคือท่าพื้นฐานที่สุดสำหรับท่าสเก็ตบอร์ด โดยท่านี้จะเป็นการให้แผ่นบอร์ดลอยติดกับเท้าเรา
วิธีเล่น
1.ก่อนอื่นไถแผ่นให้มีความเร็วพอเหมาะ(อันนี้หรือใครจะฝึกอยู่กับที่ก็ได้)
2.วางเท้าหลังไว้ส่วนtail(ตรงที่มันโค้งๆด้านหลัง)และวางเท้าหน้าไว้ตรงกลางบอร์ด
3.ย่อเข้าทั้ง2และกดเท้าหลังคุณให้แรงที่สุดโดยให้ส่วนtailกระทบพื้นพร้อมกับรูดเท้าไปหน้าและกระโดดให้สูง
4.อย่าใช้เท้าหลังของคุณกดแผ่นลงให้ใช้เท้าหลังนำแผ่นขึ้นไปด้วย
5.รักษาระดับไหล่และเข่าให้ขนานกับทิศทางที่จะไปซึ่งจะง่ายต่อการลง
6.ให้ล้อทั้ง4ลงพร้อมกันและเมื่อลงพื้นให้คุณย่อเข่าลงด้วย


ท่า kickflip ถือว่าเป็นหนึ่งในจำนวนท่าพื้นฐานของท่าประเภทฟลิป(ท่าปั่นแผ่น) มันอาจจะเป็นท่าที่ควรฝึกเป็นท่าแรกในบรรดาท่าฟลิปทั้งหมด(ยกเว้นท่า heelflip) เพราะไม่แน่ใจว่าควรฝึกอันไหนก่อน หลังดี เพราะมันต่างกันไม่มาก แต่ที่สำคัญคือ คุณจะต้องแน่ใจว่าเล่นท่าออลลีได้ อย่างดีแล้ว


ท่า popshovit เป็น ท่าพื้นฐาน และเป็นท่าที่ต้องการฝึก การวางเท้าที่ถูกต้อง และการใช้กำลังเท้าหลังในการกด เพื่อที่จะทำให้แผ่นหมุนได้ครบรอบ ซึ่งก่อนคุณจะฝึก ท่านี้คุณต้องรู้การออลลี่มาก่อนแล้ว